วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
พุทธวจน คำสอนที่ออกจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
(ที่มา: ธรรมโฆษณ์ของอาจารย์พุทธทาสภิกขุ)
วันจันทร์ที่ 25 กรกฏาคม 2554
พุทธวจน คือ...คำที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสสอนไว้
ข้อสังเกต ๙ ประการเกี่ยวกับพุทธวจน
๑. พระพุทธเจ้าสามารถกำหนดสมาธิเมื่อจะพูดทุกถ้อยคำจึงไม่ผิดพลาด(ดูพระสูตร ๑)
๒. แต่ละคำที่พระพุทธเจ้าพูดเป็นอกาลิโก คือถูกต้อง ตรงจริงไม่จำกัดกาลเวลา(ดูพระสูตร ๒)
๓. คำที่พระพุทธเจ้าพูดมาทั้งหมดนับแต่วันตรัสรู้จนกระทั่งปรินิพพานนั้นสอดรับไม่ขัดแย้งกัน(ดูพระสูตร ๓)๔. พระพุทธเจ้าทรงบอกเหตุความอันตรธานของคำสอนเปรียบด้วยกลองศึก(ดูพระสูตร ๔ )
๕. พระพุทธเจ้าทรงกำชับให้ศึกษาปฏิบัติเฉพาะจากคำสอนของพระองค์เท่านั้นอย่าฟังผู้อื่น(ดูพระสูตร ๕)
๖. พระพุทธเจ้าทรงห้ามบัญญัติ เพิ่ม หรือ ตัดทอน สิ่งที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว(ดูพระสูตร ๖)พระสูตรเพิ่มเติม : ทรงอนุญาต “สงฆ์จงเลิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ถ้าต้องการ”หลังจากพระองค์ปรินิพพานแล้ว ประเด็นคือ ก. เฉพาะด้านวินัย คือสิกขาเล็กน้อย เพิกถอนได้แต่ไม่ได้บอกให้เพิ่มเติมได้ ข. ด้านธรรมะ และสิกขาบทหลักมิได้อนุญาตให้เพิ่มหรือ ตัดทอน
๗. สำนึกเสมอว่า ตนเป็นเพียงผู้เดินตามพระองค์เท่านั้นถึงแม้จะเป็นพระอรหันต์ผู้เลิศทางปัญญาก็ตาม(ดูพระสูตร ๗)
๘. พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ให้ทรงจำบทพยัญชนะและคำอธิบายอย่างถูกต้องพร้อมขยันถ่ายทอดบอกสอนกันต่อๆ ไป(ดูพระสูตร ๘)
๙. พระพุทธเจ้าทรงบอกวิธีแก้ไขความผิดเพี้ยนในคำสอนอันเกิดจากจำผิด อธิบายผิด ความลางเลือน ความบิดเบือนไปจากเดิม ว่าต้องทำอย่างไร(ดูพระสูตร ๙)
สรุปพระองค์ตรัสแก่พระอานนท์ ให้ใช้ธรรมที่ตรัสไว้ เป็นศาสดาแทนต่อไป(ดูพระสูตร ๑๐)(พระสูตร ๑) ความสามารถอัคคิเวสนะ ! เรานั้นหรือ, จำเดิมแต่เริ่มแสดงกระทั่งคำสุดท้ายแห่งการกล่าวเรื่องนั้นๆ ย่อมตั้งไว้ซึ่งจิตในสมาธินิมิตอันเป็นภายในโดยแท้ ให้จิตดำรงอยู่ ให้จิตตั้งมั่นอยู่กระทำให้มีความเป็นจิตเอก ดังเช่นที่คนทั้งหลายเคยได้ยินว่าเรากระทำอยู่เป็นประจำ ดังนี้.(พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้า ๒๔๗,พระไตรปิฎก สยามรัฐ ๑๒/๔๖๐/๔๓๐)(พระสูตร ๒) ความสามารถดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่กล่าวนั้นถูกละ พวกเธออันเรานำเข้าไปแล้วด้วยธรรมนี้ อันเห็นได้ด้วยตนเอง ซึ่งให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ควรเรียกให้มาชม ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน คำที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมนี้ อันเห็นได้ด้วยตนเอง ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ควรเรียกให้มาชม ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน ดังนี้ เราอาศัยความข้อนี้กล่าวแล้ว.(พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับสังคายนา ในพระบรมราชูปถัมภ์พ.ศ.๒๕๓๐, เล่ม ๑๒ ข้อ ๔๐๗ หน้า ๔๕๖)(พระสูตร ๓) ความสามารถภิกษุทั้งหลาย ! นับตั้งแต่ราตรี ที่ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จนกระทั่งถึงราตรี ที่ตถาคตปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ, ตลอดเวลาระหว่างนั้น ตถาคตได้กล่าวสอน พร่ำสอน แสดงออกซึ่งถ้อยคำใดถ้อยคำเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเข้ากันได้โดยประการเดียวทั้งสิ้น ไม่แย้งกันเป็นประการอื่นเลย.(พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้า ๒๘๕,พระไตรปิฎก สยามรัฐ ๒๕/๓๒๑/๒๙๓)(พระสูตร ๔) ห่วงใยภิกษุทั้งหลาย ! เรื่องนี้เคยมีมาแล้ว กลองศึกของกษัตริย์พวกทสารหะ เรียกว่า อานกะ มีอยู่. เมื่อกลองอานกะนี้ มีแผลแตก หรือลิ, พวกกษัตริย์ทสารหะได้หาเนื้อไม้อื่นทำเป็นลิ่ม เสริมลงในรอยแตกของกลองนั้น(ทุกคราวไป). ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเชื่อมปะเข้าหลายครั้งหลายคราวเช่นนั้นนานเข้าก็ถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งเนื้อไม้เดิมของตัวกลองหมดสิ้นไป เหลืออยู่แต่เนื้อไม้ที่ทำเสริมเข้าใหม่เท่านั้น;ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น ในกาลยืดยาวฝ่ายอนาคต จักมีภิกษุทั้งหลาย, สุตตันตะ (ตัวสูตรส่วนที่ลึกซึ้ง)เหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้งเป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยหูฟัง จักไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสูตรที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอจักฟังด้วยดี จักเงี่ยหูฟัง จักตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึงและจักสำคัญไปว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่า เป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน จึงพากันเล่าเรียนไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า “ข้อนี้เป็นอย่างไร? มีความหมายกี่นัย?” ดังนี้. ด้วยการทำดังนี้เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้, ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็ทำให้ปรากฏได้, ความสงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัยเธอก็บรรเทาลงได้.ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุบริษัทเหล่านี้ เราเรียกว่า บริษัทที่มีการลุล่วงไปได้ด้วยการสอบถามแก่กันและกันเอาเอง, หาใช่ด้วยการชี้แจงโดยกระจ่างของบุคคลภายนอกเหล่าอื่นไม่; จัดเป็นบริษัทที่เลิศแล.(ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ หน้า ๓๕ ๒,พระไตรปิฎกบาลี สยามรัฐ๒๐/๙๒/๒๙๒)(พระสูตร ๕ เพิ่มเติม) แนะนำทางแห่งนิโรธภิกษุทั้งหลาย ! บริษัทสองจำพวกเหล่านี้ มีอยู่. สองจำพวกเหล่าไหนเล่า? สองจำพวก คือ อุกกาจิตวินีตาปริสา(บริษัทอาศัยความเชื่อจากบุคคลภายนอกเป็นเครื่องนำไป)โนปฏิปุจฉาวินีตา (ไม่อาศัยการสอบสวนทบทวนกันเองเป็นเครื่องนำไป) นี้อย่างหนึ่ง, และ ปฏิปุจฉาวินีตาปริสา(บริษัทอาศัยการสอบสวนทบทวนกันเองเป็นเครื่องนำไป)โนอุกกาจิตวินีตา (ไม่อาศัยความเชื่อจากบุคคลภายนอกเป็นเครื่องนำไป) นี้อีกอย่างหนึ่ง.ภิกษุทั้งหลาย ! บริษัทชื่อ อุกกาจิตวินีตาปริสาโนปฏิ-ปุจฉาวินีตา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้คือภิกษุทั้งหลายในบริษัทใด, เมื่อสุตตันตะทั้งหลาย ตถาคต-ภาสิตา- อันเป็นตถาคตภาษิต คมฺภีรา- อันลึกซึ้ง คมฺภีรตฺถา-มีอรรถอันลึกซึ้ง โลกุตฺตรา- เป็นโลกุตตระ สุญฺญฺต-ปฏิสํยุตฺตา- ประกอบด้วยเรื่องสุญญตา อันบุคคลนำมากล่าวอยู่, ก็ไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ พวกเธอย่อมฟังด้วยดีย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. พวกเธอเล่าเรียนธรรมอันกวีแต่งใหม่นั้นแล้ว ก็ไม่สอบถามซึ่งกันและกัน ไม่ทำให้เปิดเผยแจ่มแจ้งออกมาว่า ข้อนี้พยัญชนะเป็นอย่างไร อรรถะเป็นอย่างไร ดังนี้. เธอเหล่านั้น เปิดเผยสิ่งที่ยังไม่เปิดเผยไม่ได้ ไม่หงายของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้นได้ ไม่บรรเทาความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย มีอย่างต่างๆ ได้. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เราเรียกว่า อุกกาจิตวินีตาปริสา-โนปฏิปุจฉาวินีตา.ภิกษุทั้งหลาย ! บริษัทชื่อ ปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโน-อุกกาจิตวินีตา เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้คือ ภิกษุทั้งหลายในบริษัทใด, เมื่อสุตตันตะทั้งหลาย ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองเป็นเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำของสาวก อันบุคคลนำมากล่าวอยู่, ก็ไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟังไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.ส่วนสุตตันตะเหล่าใด อันเป็นตถาคตภาษิต อันลึกซึ้งมีอรรถอันลึกซึ้ง เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยเรื่องสุญญตา,เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ พวกเธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมเข้าไปตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่า เป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. พวกเธอเล่าเรียนธรรมที่เป็นตถาคตภาษิตนั้นแล้ว ก็สอบถามซึ่งกันและกัน ทำให้เปิดเผยแจ่งแจ้งออกมาว่า ข้อนี้พยัญชนะเป็นอย่างไร อรรถะเป็นอย่างไร ดังนี้. เธอเหล่านั้น เปิดเผยสิ่งที่ยังไม่เปิดเผยได้ หงายของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้นได้ บรรเทาความสงสัยในธรรมทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย มีอย่างต่างๆ ได้. ภิกษุทั้งหลาย! นี้เราเรียกว่า ปฏิปุจฉาวินีตา-ปริสาโนอุกกาจิตวินีตา.ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้แล บริษัท ๒ จำพวกนั้น.ภิกษุทั้งหลาย บริษัทที่เลิศในบรรดาบริษัททั้งสองพวกนั้นคือ บริษัทปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา (บริษัทที่อาศัยการสอบสวนทบทวนกันเอาเองเป็นเครื่องนำไป ไม่อาศัยความเชื่อจากบุคคลภายนอกเป็นเครื่องนำไป) แล.(อริยสัจจากพระโอษฐ์ หน้า ๕๐๕-๕๐๗, พระไตรปิฎกบาลี สยามรัฐ๒๐/๙๑/๒๙๒)(พระสูตร ๖) ระวังอปริหานิยธรรม (ข้อ ๓)ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด อยู่เพียงใด,ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.(ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ หน้า ๓๐๖, พระไตรปิฎกบาลี สยามรัฐ๒๓/ ๒๑/๒๑)(พระสูตร ๗) อย่าหลงภิกษุทั้งหลาย ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ให้คนรู้ ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าวให้เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค) เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค) เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมรรค). ภิกษุทั้งหลาย !ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้เป็นมัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรค)เป็นผู้ตามมาในภายหลัง.ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล เป็นความผิดแผกแตกต่างกันเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์.(อริยสัจจากพระโอษฐ์ หน้า ๗ ๒๑, พระไตรปิฎกบาลี สยามรัฐ๑๗/๘๑/๑๒๕)(พระสูตร ๘) คงคำสอนภิกษุทั้งหลาย ! มูลเหตุสี่ประการเหล่านี้ ย่อมทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.สี่ประการอะไรเล่า?
สี่ประการ คือ(๑) ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนสูตรอันถือกันมาถูก ด้วยบทพยัญชนะที่ใช้กันถูก ความหมายแห่งบทพยัญชนะที่ใช้กันก็ถูก ย่อมมีนัยอันถูกต้องเช่นนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ! นี่เป็นมูลกรณีที่หนึ่ง ซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป……….(๓) ภิกษุทั้งหลาย ! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุเหล่าใดเป็นพหุสูต คล่องแคล่วในหลักพระพุทธวจน ทรงธรรมทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท) พวกภิกษุเหล่านั้น เอาใจใส่บอกสอน เนื้อความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่น ๆ, เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับไป สูตรทั้งหลาย ก็ไม่ขาดผู้เป็นมูลราก(อาจารย์) มีที่อาศัยสืบกันไป. ภิกษุทั้งหลาย! นี่เป็นมูลกรณีที่สาม ซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป……….(ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ หน้า ๓๕๕, พระไตรปิฎกบาลี สยามรัฐ๒๑/๑๙๘/๑๖๐)(พระสูตร ๙) พร้อมป้องกันหลักใหญ่เพื่อตรวจสอบวินิจฉัยธรรมวินัย (มหาปเทส ๔)เมื่อมีผู้กล่าวอ้างในแบบต่างๆ ว่า “นี้เป็นพุทธวจน” เพื่อสอบสวนเทียบเคียงพระธรรมวินัย(๑) (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุข้าพเจ้าได้สดับรับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า“นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระศาสดา”...(๒) (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุในอาวาสชื่อโน้นมีสงฆ์อยู่พร้อมด้วยพระเถระ พร้อมด้วยปาโมกข์ ข้าพเจ้าได้สดับเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า “นี้เป็นธรรมนี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระศาสดา”...(๓) (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่จำนวนมากเป็นพหูสูตเรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระศาสดา”...(๔) (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่รูปหนึ่งเป็นพหูสูตรเรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับเฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัยนี้เป็นคำสอนของพระศาสดา”...เธอทั้งหลายยังไม่พึงรับรอง ยังไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของผู้นั้น เธอพึงกำหนดเนื้อความเหล่านั้นให้ดี แล้วนำไปสอบสวนในสูตร นำไปเทียบเคียงในวินัย ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ไม่ได้พึงสันนิษฐานว่า “นี้มิใช่พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และภิกษุนั้นจำมาผิด” เธอทั้งหลายพึงทิ้งเหล่าคำนั้นเสีย ถ้าบทพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้พระดำรัส ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และภิกษุนั้นรับมาด้วยดี” เธอทั้งหลายพึงจำมหาปเทส...นี้ไว้.(มหาปเทส ๔ พระไตรปิฎกแปลไทย มจร. ๑๔/๕๓/๔๑,มหาปรินิพพานสูตร มหา.ที่. ๑๐/๑๔๔/๑๑๒(พระสูตร ๑๐) ใช้คำสอนแทนพระองค์อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่าธรรมวินัยของพวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปแล้วพวกเราไม่มีพระศาสดา ดังนี้อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดอย่างนั้นอานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดีที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลายธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายโดยกาลล่วงไปแห่งเรา(มหาปรินิพพานสูตร มหา.ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘)
อานนท์ ! ความขาดสูญแห่งกัลยานวัตรนี้ มีในยุคแห่งบุรุษใดบุรุษนั้นชื่อว่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายแห่งบุรุษทั้งหลาย...เราขอกล่าวย้ำกะเธอว่า...เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษพวกสุดท้ายของเราเลย
ธรรมะจัดสรร..เพื่อการเผยแผ่คำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ ถวายเป็นพุทธบูชา
ป้ายกำกับ:
พุทธวจนสถาบันศุนย์เผยแผ่ภิกษุภาคอีสาน,
อาจารย์จารุช